25520115

"เบิ่ยจิง วันที่๓"

แผนการในช่วงเช้านั้นถือเป็นเรื่องปกติในตลอด๖วันที่เดินทางไปที่ปักกิ่ง
ตื่นนอนแปดโมง...บิดขี้เกียจจนถึงแปดโมงครึ่ง
แล้วจึงค่อยอาบน้ำเตรียมตัวออกไปหาอะไรกินประมาณสิบโมงขึ้นไป
จากนั้นจึงจะออกเดินทางไปยังเป้าหมายที่ตั้งไว้

ซื้อตั๋ว...



ไปเที่ยวไม่เสียตังค์ก็ไม่นับว่าไปเที่ยว
อย่างที่เคยกล่าวไว้ในบทความก่อนหน้านี้
ทำให้ผมพอเข้าใจได้ว่าคนเรามักจะมีความโลภ หลงเป็นพื้นฐานของชีวิต
ดูเหมือนว่าการมาเที่ยวครั้งนี้อะไรๆก็ดูเหมือนจะโดนหลอกโดนฟันซะตลอดเวลา
เซ็ง...แต่ก็เป็นเหตุสมควรของกลุ่มคนที่มีความต้องการที่แตกต่างกันไป
บางคนก็มองหาโอกาสที่จะฉกฉวย บางคนก็มีความสุขที่จะมอบความสุขให้คนอื่น
เอาเถอะ...โลกเราก็งี้แหละ



เอ...ที่นี่เรียกว่าอะไรนะ หอฟ้าเทียนฐานป่ะ...
น่าจะใช่แหละ บอกแล้วว่าจำอะไรไม่ได้เลยเพราะว่าไม่ได้สื่อสารกับคนที่ประเทศนั้นเท่าไหร่
จะบอกว่าครั้งนี้เป็นความตื่นเต้นแบบสวนทาง
เพราะว่าพวกผมดันเข้ามาทางด้านหลังก่อน...
ดังนั้นสิ่งก่อสร้างต่างๆที่จะได้เจอมันจึงตื่นเต้มแบบย้อนกลับ
เริ่มที่ไคล์แมกซ์ก่อนแล้วค่อยถอยๆๆๆๆๆกลับไปที่จุดเริ่ม...
เจ๋งนะครับ...ได้ความรู้สึกที่แปลกใหม่ดี





สวนสาธารณะที่นี่ถือว่าเป็นที่รวมกิจกรรมเลยก้ว่าได้
ตั้งแต่เต้นรำ เล่นไพ่ และเต้นรำ ตามลำดับลงมาเลย
เรื่องของการเล่นไพ่เนี่ยไม่ค่อยจะเข้าใจว่ามันเล่นในสวนสาธารณะได้ขนาดนี้เลยเหรอ(เป็นทิวแถวยาวสวยงาม)



พกกล้องก็ต้องถ่ายเปะปะ...






ในพื้นที่แต่ละส่วนก็มีอะไรต่างๆน่าสนใจให้ดูเยอะแยะ...
แต่ส่วนมากเน้นไปในการดูอย่างเดียวห้ามแตะ ห้ามถ่าย ห้ามๆๆๆๆๆ





หมักนกกระเรียน...





ผมเข้าไปดูในหอ...ซึ่งมีรั้วกั้นไว้ไม่ให้เข้า
ก็ทำได้แค่ยื่นมือเข้าไป...






แชะ!!!




นึกตั้งานว่ามันทะแม่งๆบางอย่างตั้งแต่มา
ผมลืมทำปากปลาหมึกนี่เอง...




ดูกันเรียบร้อยแล้วก็เดินทางย้อนขึ้นกลับไปทางด้านหน้าเพื่อไปดูส่วนที่เหลือครับ




เห็นในไฮไฟว์มีเพื่อนมาบอกว่าใครๆก็มาถ่ายที่ตรงนี้
บอกตรงๆว่าผมไม่รู้หรือว่าทำไมต้องตรงนี้
คนมามุงๆกัน ผมก็เลยขอสักหน่อย
ใครรุ้ก็มาบอกหน่อยว่ามันคืออะไร




แอ่ก...เหนื่อย!!!



ห้องน้าของที่มีมีระดับความสะอาดด้วย...
สามดาวเนี่ยถือว่าคล่องตัวเลยนะ





แมวที่นี่ยังกะแมวป่า...ขนยาวๆดูกร้านโลกๆ
และที่สำคัญภาพที่ผมถ่ายมานี้เป็นจณะที่มันกะลังออกล่านกกระจิบ...





ออกมาเรียกรถแท๊กซี่หนาวๆๆๆๆๆๆๆ
บังเอิญเจอรถสามล้อเลยรีบจัดมา
ที่นี่เค้าจะนั่งหันหลังกัน...อ้วกชัวร์(สำหรับผมนะ)
ดูจากขนาดจะเห็นได้ว่าถ้าเป็นคนตัวเล็กๆก็อัดสองได้...
แต่ถ้าไม่...ก็คง
พวกผมเดินทางไปที่หวังฝูจิ่ง
มันเป็นเมหือนถนนกลางคืนมีอะไรมากมายให้เดินเล่น






ตรงนี้เป็นซอยเล็กๆและก็ไม่ยาวเท่าไหร่(เดินนิดเดียวหมด)
แต่มันได้บรรยากาศมากๆเลย...สะใจ





พอมันขัดแย้งกับตึกรามบ้านช่องแถวนั้นทำให้ดูแล้วเพลินดี



ด้านนอกคนน้อยมาก...เพราะว่าหนาว
แล้วพวกผมก็เดินเล่นดูโน่นนี่ไปเรื่อยๆ
เพราว่านี้เป็นที่สุดท้ายของวันนี้แล้ว เดนิจบก็กลับที่พักเลยเรื่อยเปื่อยนิดหน่อย





อากาศแบบนี้ เสื้อผ้าแบบนี้ ถ่ายตอนนี้ก็ยังดูว่าเมอรี่คริสต์มาส
แล้วเดินมานิดเดียวเองครับก็ถึงถนนที่ขายของกินแปลก...
เช่นพวกม้าน้ำ แมงป่อง ปูหิน ปลาดาว ฯลฯ
บางอย่างแปลกเพราะว่ารสชาตกับหน้าตามันดันไม่สอดคล้ายกันจนแปลกใจ(เซ็ง)






ที่อยู่ในมือน้องผมนั่นเอง มันเป็นแป้งกลมๆน่าทาน(หน้าตาเท่านั้น)
เพราะว่าจริงแล้วโหดมาก ไม่ขออธิบายถ้าได้ไปก็หากินกันเอง...


พอเดินจนหมดแล้วก็เรียกแท๊กซี่กลับครับ
เพนื่อยแล้วพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวในวันต่อไปดีกว่า


จ่ายเงิน เดินกลับที่พัก แช่น้ำร้อน ดูทีวี ดื่มสักหน่อย...และนอน



ตั้งนาฬิกาปลุกไว้แปดโมงเช้า...
ไปปิดไฟแปบนึง...
แป๊ก!!!

25520114

"เบิ่ยจิง วันที่๒"

นอนๆๆๆๆ
ตื่นขึ้นมาเต็มๆในปักกิ่งช่วงเช้า...
เดินหนาวออกมาหาของกิน
ก่อนที่จะเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ



บรรยากาศช่วงเช้า...
หนาวครับหนาว...
หนาวแล้วหนาวอีก หนาวมากๆทรมาน
เลยต้องไปหาอะไรกินที่ผู้พันแซนเดอร์
ก่อนจะออกเดินทางไปยังจุดหมายต่างๆที่วางไว้ตามแผน!!!



ในรถแท๊กซี่ที่จะไปยังจุดขึ้นรถจุดแรกของการเดินทางในครั้งนี้
ซึ่งก็คือการเดินทางไปยังกำแพงเมืองจีน...ก็กดชัตเตอร์ไปเรื่อย
ระหว่างทางที่รถแท๊กซี่ผ่านไปก็เจอสิ่งก่อสร้างสองสิ่งที่อยู่ในแผนการเยี่ยมชมวันถัดๆไปครับ


ผ่านไปเร็ว...กดชัตเตอร์เกือบไม่ทัน ล่กมาก!!!

เหตุการณ์หลังจากนี้ผมไม่ได้ทำการบันทึกภาพไว้(จะเจอช่องว่างแบบนี้อีกเยอะในตอนต่อไปเพราะว่าหนาวจนทำอะไรไม่ถูก)
-ผมต้องไปต่อรถทัวร์เพื่อเตินทางไปให้ถึงกำแพงเมืองจีนครับ
-รถทัวร์ไม่โผล่หัวมา และถ้าไปด้วยรถทัวร์จะใช้เวลาหลายชั่วโมงมากจากคำบอกกล่าวของ...เอ่อ...ใครฟะ ลืม
-แถวนั้นจะมีรถรับจ้างที่เป็นรถอิสระของคนทั่วไปมาดักรอลูกค้าที่ไม่มีที่ไปแล้วเหมาราคาในการเดินทางครับ
-จึงทำให้ต้องเสียตังค์ให้มันแทนเพราะว่าเพื่อประหยัดเวลาและลัดขั้นตอนที่น่าเบื่อต่างๆไปเลย
-เลยได้นั่งรถเหม็นบุหรี่ไปกำแพงเมืองจีน(ที่นี่มีกลิ่นหลากหลายมากครับ แต่ส่วนมากจะเป็นกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์)


แต่น แต๊น!!!


ในที่สุดก็มาถึงครับ กำแพงที่มานี้เป็นหนึ่งในหลายๆด่านที่มีอยู่ในหลายๆจุดของประเทศจีน
เนื่องจากน้องของผมเคยไปที่ด่านอื่นๆมาบ้างแล้วเขาเลยพามาที่ที่ยังไม่เคยมา
หนาว...หนาวชิบหาย ไม่รู้จะอธิบายยังไง

หนาว!!!



ก่อนจะออกเดินทางก็ต้องแวะห้องน้ำก่อนเพราะไม่รู้ว่าระหว่างทางจะเกิดเหตะการณ์อะไรขึ้น
เพราะว่าอากาศหนาวเหลือเกินครับ

แถวๆห้องน้ำครับ...
หนาวจนแสบมือ...
เดินไปทางไหนก็มีแต่อุณหภูมิที่เย็นยะเยือก...ว้าก!!!
เมื่อเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เตรียมตัวออกเดินครับ


เมื่อมาถึงก็พบกับทางเดินชัน ด่านนี้เป็นด่านแบบชันครับ...
ผมขึ้นไปแค่ด่านเดียวถึงกับหายใจแทบไม่ทัน เพราะว่าอากาศที่สูดเข้าไปมันผิดจากอุณหภูมิเดิมที่เคยได้
ทำให้เหนื่อยมาก แสบๆ แห้งๆ บ้าบอมากครับ


อ้าก...สุดท้ายผมเดินไปได้แค่สามด่าน ถ้าปกติไปเดินที่ราบจะเดินได้เป็นสิบด่านเลยน้องผมบอก
จากที่หนาวๆเมื่อได้ออกกำลังกายเต็มที่...ผมเริ่มปลดหมวกออก เริ่มปลดเสื้อเพื่อระบายความร้อน...
เหงื่อแตกที่-๖องศาเซลเซียสครับ เจ๋งเป็นบ้า...


ถ่ายรูปรวมๆเอาไว้ครับ จัดไปตอนขาที่กำลังกลับลงมาจากกำแพงชันๆ



พอหายเหนื่อยก็ทำตัวเหี้ยได้ จำได้ว่ามีคนมายืนรอเพื่อเดินผ่านผมไป
แต่กว่าจะถ่ายรูปเสร็จก็ใช้เวลาสักพัก...ไม่เป็นไรครับ ไปจีนแล้วไม่ต้องมีมารยาทมาก

หลังจากที่ลงมาจากกำแพงเมืองจีน...ก็ขึ้นรถบุหรี่คันเดิมมุ่งหน้าไปที่หมู่บ้านโบราณ
เหตุการณ์ต่อไปนี้ทำให้ผมเข้าใจได้ว่ามาเมืองจีนอย่าคาดหวังอะไรมาก เซอไพรส์!!!


ตอนที่ผมยังไม่เดินเข้ามาในพื้นที่นี้มันมีกำแพงบังไว้ครับ
พอเดินเข้ามาก็...
อธิบายไม่ถูก แต่เหมือนโดนหลอกครับ ฮ่าๆ(มีอีกหลายเซอไพรส์ในการเดินทางครั้งนี้ครับ)


ผมเดินมาถึงบ้านหลังหนึ่งซึ่งไกด์ที่นั่นบอกว่าสามารถขึ้นไปถ่ายรูปได้นะครับ
แต่...
เสียค่าขึ้นคนละ๑หยวน...(แม่งยังจะเอา)
พอขึ้นไปก็มีห้องที่เหมือนรูปข้างต้นน่ะครับ น้องผมถามคนที่แต่งตัวอยู่ข้างบนว่าถ้าจะถ่ายรูปคู่กับเค้าจะได้มั้ย?
ได้...แต่เสียงตังค์๑๐หยวน...
ผมหันไปเห็นชุดที่แขวนๆไว้ที่ราวเสื้อผ้าให้เอาไว้เปลี่ยน...ผมไม่ถามเพราะรู้ว่าขนาดจะขอถ่ายรูปกับมันยัง๑๐หยวน...
พวกผมเลยเดินลงมาตัวเปล่าๆกับรูปถ่ายโดดเดี่ยวแบบไม่แต่งตัวจีนๆ


โมโหว้อย!!!
ที่นี่จะให้ความรู้สึกคล้ายๆเมืองโบราณ หรือหมู่บ้านอนุรักษ์อะไรบางอย่างที่มีของเก่าๆเก็บไว้ที่นี่
แต่บรรยากาศที่ว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คนแบบนี้มันช่างทำให้สถานที่นี้เซ็งสิ้นดี


เซ็ง...
หนาว...
เอ้อ...ผมลืมบอกไปว่าผมมาที่นี่แล้วได้ของที่ระลึกมาหนึ่งอย่างคือเหรียญบดรูปกำแพงเมือจีน
เหรียญ+บด เพราะว่ามันเป็นการใส่เหรียญทองเหลืองกลมๆธรรมาดาลงไปในเครื่องบดที่มีลวดลายพิมพ์อยู่
แล้วผมก็หมุนๆมันออกมาเหมือนหมึกบดอ่ะครับ...เหลือกลมๆก็โดนบดจนเป็นวงรีและมีรูปกำแพงเมืองจีนติดอยู่บนเหรียญ
...คือว่าผมลืมถ่ายรูปไว้...ถ้ามีโอกาสจะจัดมาให้ดูทีหลังนะครับ


หึหึ...
เมื่อผมเดินเล่นกันเสร็จก็ย้อนกลับไปที่ทางออก ก็พอกับกลุ่มทัวร์กลุ่มหนึ่ง
ซึ่งค่าเข้าเฉยๆก็ปาเข้าไป๕๐หยวนแล้ว(น้องผมเอาบัตรนักศึกษามาใช้ลดราคาได้เลยลดไปครึ่งนึง...)
ขณะที่พิมพ์อยู่นี้ผมนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าคืนวันแรกผมทานอาหารเย็นที่ไหนและทานอะไร...
และตอนนี้น้องผมดันเดินไปเข้าห้องน้ำอยู่...ไม่มีใครให้คำตอบได้รอสักครู่นะครับ
.
..

...

.....

. . . . .




ก็ยังไม่มา...รอก่อน
(ผมดันลืมถ่ายรูปแล้วดันนึกไม่อ...)
อ่าวมาละ อ่อ...
พวกผมเดินทางไปต่อในย่านตัวเมืองที่มีห้างสรรพสินค้าเยอะๆ(ซีตัน)
ไปกินร้านข้าวที่เหมือนพวกร้านจั๊งฟู้ดอ่ะครับ แต่เปลี่ยนจากไก่ทอด แฮมเบเก้อ...เป็นข้าวราดเนื้อต่างๆแทน
หลังจากนั้นก็กลับที่พักครับ มึน...ไปกับอากาศที่หนาวมาก(รู้สึกว่าผมพิมพ์คำว่า"หนาว"เยอะมาก)


จากที่พักครับ
แล้วผมก็ดื่อเบียร์ไปหนึ่งกระป๋องและเข้านอนครับ...
ผมตั้งนาฬิกาปลุกไว้ครับ...
เดี๋ยวถึงเวลาแล้วมันคงปลุกเอง...
ไปนอนละ
. . .

25520113

"เบิ่ยจิง วันที่๑"

ระหว่างความรู้สึกดีและไม่ดี การโยกซ้าย-ขวา ของความรู้สึกที่อยู่ข้างใน
ว่าจะเอายังไงดีกับการเดินทางครั้งนี้...
การทับซ้อนของการเดินทางและวันทำงานที่วุ่นวาย
การทิ้งความรับผิดชอบและสิ่งที่ถูกเรียกว่าโอกาส(มีการกำหนดคำขึ้นจากผู้ประสงค์ดี)
การตัดสินใจที่ผสมระหว่างความอยาก...ไม่อยาก และ ซะหน่อยละกัน...เกรงใจ

สุดท้ายก็ตัดสินใจได้...ตอบตกลงกับการเดินทางครั้งนี้

และผมถือว่าคุ้มค่าที่ตัดสินใจทำให้ใครหลายคนต้องวุ่นวายกับการละเลยหน้าที่
ของความเป็นคน ไม่เกี่ยวกับอาชีพ ไม่เกี่ยวกับสายเลือด ไม่เกี่ยวกับอะไรที่เป็นข้ออ้างเลย
เพียงอย่างเดียว...ใจข้างในเท่านั้นเอง!!!

เงอะงะไปๆมาๆก็ถึงวันออกเดินทางซะแล้วครับ
ทำตัวเฉื่อยแฉะสบายใจชิวๆเก็บของเรื่อบเปื่อย
เพราะรู้แล้วว่ากังวลเกินไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา...
ไม่ได้อยู่กับความจริงตรงหน้าเอาซะเลย

ในการเดินทางครั้งนี้ผมเองคงไม่สามารถอธิบายชื่อสภานที่ต่างๆได้ชัดเจนนัก
เพราะว่าการเดินทางครั้งนี้ผมเองแทบไม่ได้สื่อสารกับใครเลย
เพราะว่าที่โน่นใช้ภาษาอังกิดไม่ได้ครับ...
แม้ว่าผมจะโง่อังกิด แต่ถ้าได้สื่อสารบ้าง มันก็ทำให้ข้อมูลเดินทางผ่านเข้ามาที่ตัวผม
แต่นี่ไม่ครับ คุยกับใครไม่ได้เลย เพราะว่าต้องใช้ภาษาจีนกลางล้วน...จบเกมส์กันไปครับ
เลยให้น้องชายช่วยสื่อสารแทนตลอด...
ทำให้เกิดช่องว่างทางความทรงจำของข้อมูลขึ้นมาซะงั้นครับ
ถ้าผิดพลาดตรงไหนก็ช่วยบอกด้วยนะครับ!!!

เกริ่นนานไปละ(คิดในใจ)
เพราะว่าพยายามคิดว่าจะพูดถึงอะไรดี...
มันเลยพยายามคิดๆๆๆๆแล้วมันก็เสียเวลาๆๆๆๆๆ
ดูโน่นดูนี่หาได้มีสมาธิอยู่ตรงนี้ไม่...
บัดซบ!!!

เริ่มเลย...

ที่นี่คือดินแดนทองคำ...รอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ประทับใจกับการขับเครื่องบินครั้งนี้มาก
ขอเอ่ยชื่อผู้ทำความดี(การบินไทยครับ)
TG614 52-01-05
บินได้เยี่ยมมากลงจอดเนียนขึ้นเนียน
เพราะว่าผมเองเป็นคนที่แพ้ความดันมาก
มันทรมานจริงๆเวลาที่ความดันมันเปลี่ยน
แล้วเราต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นภายในหูจนแทบจะเป็นบ้า
แต่ครั้งนี้เยี่ยมจริงๆครับ(ทำดีขอชมเชย ทำไม่ดีชมเชยสองที...)


รถไฟในสนามบินที่เชื่อมโยงระหว่างตัวอาคาร

ผมเองไม่ได้ถ่ายรูปในช่วงนี้เท่าไหร่...
เพราะว่างงกับการหาทางไปที่ทางออก
เลยเน้นไปทางการเดินมึนเสียมาก


ถึงแล้วครับ ทางที่จะไป

และเหตุการณ์หลังจากนี้...
ไม่มีการบันทึกภาพเหตุการณ์ใดๆทั้งสิ้น
จิตวิญญาณของคนบันทึกภาพนั้นต่ำไป...
ทุกอย่างจับตัวแข็งภายใต้อุณหถูมิ-๖องศาเซลเซียสเท่านั้นเอง
(แทบบ้า)

ผมเลยไม่ทำอะไรสักอย่าง...นอกจากรีบเดินๆๆๆๆๆๆๆ
หาที่พอจะกำบังลมได้
เดินไป...ปวดฉี่ไป!!!


เมื่อถึงที่พัก เก็บของเรียบร้อยก็เดินไปรับอาหารเย็นใกล้ๆกับที่พัก
ใกล้มากครับ แต่พอบวกความเย็นเข้าไป มันทำให้รู้สึกว่าระยะทางมันยืดเพิ่มอีกเป็นกิโล

มือเย็นนี้...เป็นอาหารเกาหลี(ปลอมๆ เพื่อนของน้องชายบอกมาว่าที่เกาหลีไม่มีใครกินแบบนี้)
แต่ก็ยังอร่อยดีครับ...ถ้าเทียบกับความทรงจำแสนจืดของอาหารจีนที่เคยไปซัดที่ฮ่องกงมา


หนาวเหลือเกิน...หนาวจริงๆ หนาวเป็นบ้า...
ทำให้ผมเข้าใจว่าทำไปหนาวถึงทำให้คนตายได้
คาราวะเลย!!!



ผ่านพ้นไปหนึ่งวันที่เบิ่ยจิง

เจอกันวันถัดไป...

25520102

"POLAR THE KILLER"


เผื่ออยากเห็นว่าหน้าตาเต็มๆเป็นอย่างไร!!!

25520101

"เวลาที่ผ่านไป"

มองเห็นสิ่งที่ผ่านไปอย่างล่องลอยและเหยาะแหยะ...

คืนที่๒๗
เป็นความเจ็บปวดบางอย่างที่ยังคงมีอยู่ในใจ
และเดินทางต่อไปกับมัน!!!

เช้าที่๒๘
กับ PRAMOTESHOWครั้งที่๑
กุจะบาปมั้ยเนี่ย...!!!

คืนที่๒๙
กล้องของผมเริ่มบอกลา...
ดูกันต่อไป!!!

ไม่มีอะไรในคืนที่๓๐
จึงข้ามไปที่๓๑กับการเฝ้าดูการจุดถ่านสำหรับเตาบารากุ!!!

ประดับประดาเล็กน้อย...
ให้เป็นพื้นที่เล็กๆของคนกลุ่มหนึ่ง




แล้วเจอกัน!!!